ข้อบังคับสมาคมฯ
ข้อบังคับของสมาคมพันธุศาสตร์แห่งประเทศไทยหมวดที่ ๑ ข้อความทั่วไปข้อ ๑. ชื่อสมาคม สมาคมนี้เรียกว่า “สมาคมพันธุศาสตร์แห่งประเทศไทย” มีชื่อในภาษาอังกฤษ คือ “Genetics Society of Thailand” ใช้อักษรย่อ คือ “GST” และคำว่า “สมาคม” ในข้อบังคับนี้เป็นชื่อที่ใช้แทนชื่อเต็มของ “สมาคมพันธุศาสตร์แห่งประเทศไทย”ข้อ ๒. ตราของสมาคม มีดังนี้
ความหมาย๑. ดีเอ็นเอ แทนสมาคมพันธุศาสตร์แห่งประเทศไทย๒. ลักษณะการเกี่ยวพัน เป็นเครื่องหมายแทนการพัฒนาของสมาคมพันธุศาสตร์แห่งประเทศไทย อย่างต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง๓. ลายกนก แทนความเป็นไทย การอนุรักษ์ศิลปวิทยาและวัฒนธรรมไทย๔. สีเขียว แทนธรรมชาติและความยั่งยืน๕. สีเหลืองทอง แทนความเจริญก้าวหน้า ความมั่งคั่งและมั่นคงข้อ ๓. การก่อตั้ง สถานที่ตั้ง ๓.๑ สมาคมนี้ก่อตั้งขึ้นจากชมรมพันธุศาสตร์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๑ ณ ห้องประชุมพิณพากย์พิทยาเภท โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ๓.๒ สถานที่ตั้งของสมาคม คือ ตึกพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานครข้อ ๔. วัตถุประสงค์ สมาคมพันธุศาสตร์แห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ๔.๑ เพื่อเป็นสมาคมทางวิชาการ ไม่เกี่ยวกับการค้าและการเมือง ๔.๒ เพื่อพัฒนาการศึกษาทางพันธุศาสตร์ทุกสาขา รวมทั้งส่งเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อการศึกษาวิชานี้ ๔.๓ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการวิจัยทางพันธุศาสตร์ทุกสาขา ๔.๔ เพื่อส่งเสริมให้บริการและเผยแพร่ความรู้ทางพันธุศาสตร์แก่ประชาชน เพื่อยกระดับคุณภาพของชีวิต ๔.๕ เพื่อเป็นศูนย์ประสานงาน เผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้ทางพันธุศาสตร์ระหว่างสมาชิก และผู้สนใจทางพันธุศาสตร์ทั้งภายในและภายนอกประเทศหมวดที่ ๒ สมาชิกภาพข้อ ๕. คุณสมบัติ บุคคลที่จะเป็นสมาชิก ต้องมีคุณสมบัติข้อหนึ่งข้อใด ดังต่อไปนี้ ๕.๑ บุคคลที่ทำงานและปฎิบัติงานเกี่ยวกับพันธุศาสตร์ ๕.๒ บุคคลที่สนใจในกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ของสมาคม ๕.๓ นิสิต นักศึกษา และนักเรียนข้อ ๖. ประเภทสมาชิก ๖.๑ สมาชิกสามัญ คือ บุคคลที่มีคุณสมบัติใน ข้อ ๕.๑ และ/หรือ ๕.๒ ๖.๒ สมาชิกกิตติมศักดิ์ คือ บุคคลที่คณะกรรมการบริหารเห็นเป็นเอกฉันท์ควรเชิญมาเป็นสมาชิก เพื่อเป็นเกียรติแก่สมาคม ๖.๓ สมาชิกอุปถัมภ์ คือ บุคคล หรือ นิติบุคคล ที่สนใจอุปถัมภ์กิจการของสมาคม และคณะกรรมการบริหารเห็นควรเชิญเข้าเป็นสมาชิก ๖.๔ อนุสมาชิก คือ บุคคลที่มีคุณสมบัติในข้อ ๕.๓ข้อ ๗. สิทธิของสมาชิกสามัญ ๗.๑ มีสิทธิได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการบริหาร ๗.๒ มีสิทธิลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง และลงมติต่าง ๆ ในที่ประชุม ๗.๓ มีสิทธิเข้าประชุมทางวิชาการ ๗.๔ มีสิทธิได้รับเอกสารต่าง ๆ ๗.๕ มีสิทธิส่งเรื่อง บทความ และ/หรือ ผลงานวิจัย ลงในวารสาร และ/หรือ จุลสารพันธุศาสตร์ข้อ ๘. สิทธิของอนุสมาชิก ๘.๑ มีสิทธิเข้าประชุมทางวิชาการ ๘.๒ มีสิทธิได้รับเอกสารต่าง ๆ ๘.๓ มีสิทธิส่งเรื่อง บทความ และ/หรือ ผลงานวิจัยลงในวารสาร และ/หรือ จุลสารพันธุศาสตร์ข้อ ๙. การเข้าเป็นสมาชิก ๙.๑ ผู้ประสงค์จะเข้าเป็นสมาชิกสามัญ และอนุสมาชิก ให้ยื่นใบสมัครต่อเลขาธิการของสมาคม โดยมีสมาชิกสามัญรับรอง ๒ ท่าน และต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหาร ๙.๒ สมาชิกกิตติมศักดิ์ ได้แก่ ผู้ที่ได้รับการประกาศเกียรติคุณจากสมาคม หรือผู้ที่สมาชิกเสนอชื่อพร้อมทั้งประมวลประวัติและผลงานทางวิชาการ ต่อคณะกรรมการบริหาร โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารเป็นเอกฉันท์ ๙.๓ สมาชิกอุปถัมภ์ ให้คณะกรรมการบริหารเป็นผู้พิจารณาจากผู้ที่อุปถัมภ์กิจการของสมาคมข้อ ๑๐. ค่าบำรุงสมาคม ๑๐.๑ สมาชิกสามัญ (ตลอดชีพ) เสียค่าบำรุงครั้งเดียว ๑,๒๐๐ บาท ๑๐.๒ สมาชิกสามัญเสียค่าบำรุงคนละ ๔๐๐ บาท ต่อ ๒ ปี ๑๐.๓ อนุสมาชิก เสียค่าบำรุงคนละ ๒๐๐ บาท ต่อ ๒ ปี ข้อ ๑๑. การขาดจากสมาชิกภาพ สมาชิกของสมาคมจะขาดจากสมาชิกภาพ เมื่อ ๑๑.๑ ตาย ๑๑.๒ ลาออกเป็นลายลักษณ์อักษร ๑๑.๓ กระทำเสื่อมเสีย หรือไม่เคารพต่อข้อบังคับของสมาคม โดยที่ประชุมใหญ่สามัญ หรือประชุมใหญ่ วิสามัญ ลงมติให้พ้นจากสมาชิกภาพ โดยมตินั้นต้องมีเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่เข้าประชุม ๑๑.๔ สมาชิกสามัญและอนุสมาชิกที่ขาดการชำระค่าบำรุงเพื่อต่ออายุสมาชิกเป็นเวลา ๒ ปีหมวดที่ ๓ การประชุมข้อ ๑๒. การประชุมสมาชิก ๑๒.๑ ให้มีการประชุมสมาชิกประมาณปีละ ๑ ครั้ง เรียกว่า “ประชุมใหญ่สามัญ” เพื่อให้คณะกรรมการบริหารแถลงผลงานที่ได้ดำเนินการมาแล้ว และทำการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ดังที่ได้ระบุไว้ในข้อ ๑๕ ส่วนการประชุมครั้งอื่นเรียกว่า “ประชุมใหญ่วิสามัญ” ซึ่งจะมีขึ้นเมื่อคณะกรรมการบริหารหรือสมาชิกสามัญไม่น้อยกว่า ๕๐ ท่าน เห็นว่ามีเรื่องสำคัญและจำเป็นต้องขอมติจากที่ประชุม ๑๒.๒ การประชุม ต้องแจ้งล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อย ๑๕ วัน พร้อมด้วยวาระการประชุม ๑๒.๓ องค์ประชุม ต้องกอปรด้วยสมาชิกสามัญไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๔ ของสมาชิกทั้งหมด หรือไม่น้อยกว่า ๕๐ ท่าน ถ้าสมาชิกไม่ครบองค์ประชุม ให้นัดประชุมเป็นครั้งที่ ๒ ภายใน ๓๐ วัน โดยแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน ถ้าสมาชิกยังไม่ครบองค์ประชุมอีก ให้ถือว่าการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมที่ถูกต้อง ๑๒.๔ มติที่ประชุม ในการประชุมและลงมติทุกครั้ง ให้ถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานเป็นผู้ชี้ขาด ๑๒.๕ ให้นายกสมาคมเป็นประธานของที่ประชุม ถ้านายกสมาคมไม่อยู่ ให้อุปนายกทำหน้าที่แทน ถ้าทั้งนายกสมาคมและอุปนายกไม่อยู่ ให้ที่ประชุมเลือกสมาชิกผู้หนึ่งผู้ใดขึ้นเป็นประธานที่ประชุม ๑๒.๖ การเรียกประชุม ให้เลขาธิการ ด้วยความเห็นชอบของนายกสมาคม หรือผู้ปฎิบัติหน้าที่แทน เป็นผู้ดำเนินการเรียกประชุมข้อ ๑๓. การประชุมทางวิชาการ ๑๓.๑ ให้มีการประชุมทางวิชาการ รวมทั้ง ๓ สาขา คือ พันธุศาสตร์พื้นฐาน มนุษยพันธุศาสตร์ และพันธุศาสตร์เกษตร ประมาณสองปีต่อครั้ง ในช่วงระยะเวลาเดียวกับการประชุมใหญ่สามัญ ๑๓.๒ การประชุมทางวิชาการอื่น ๆ นอกเหนือจาก ข้อ ๑๓.๑ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการบริหารเห็นสมควรหมวดที่ ๔ การบริหารสมาคม ข้อ ๑๔. คณะกรรมการบริหาร ให้มีคณะกรรมการบริหารสมาคมประกอบด้วย นายกสมาคม อุปนายก เลขาธิการ เหรัญญิก นาย ทะเบียน สาราณียกร ประชาสัมพันธ์ ประธานสาขาพันธุศาสตร์พื้นฐาน ประธานสาขามนุษยพันธุศาสตร์ ประธานสาขาพันธุศาสตร์เกษตร ประธานเครือข่ายต่าง ๆ และกรรมการอื่น ๆ จากสมาชิกสามัญของสมาคม รวมทั้งหมดไม่เกิน ๔๐ ท่าน ข้อ ๑๕. การเลือกตั้งกรรมการบริหาร ให้ที่ประชุมสามัญดำเนินการเลือกตั้งนายกสมาคม โดยให้สมาชิกเป็นผู้เสนอชื่อและมีสมาชิกเป็นผู้รับรองตำแหน่งอย่างน้อย ๕ ท่าน ทั้งนี้นายกสมาคม จะต้องเป็นผู้ที่เคยได้รับตำแหน่งนายก อุปนายก หรือเลขาธิการสมาคมมาก่อน และต้องได้รับมติเป็นเสียงข้างมากของสมาชิกที่เข้าประชุม ให้นายกเสนออุปนายก และเลขาธิการต่อที่ประชุม จากกรรมการผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริหาร อย่างน้อย ๑ วาระ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสมาคมฯ อย่างสม่ำเสมอ และให้กรรมการที่ได้รับเลือกตั้งจากที่ประชุมเลือกกรรมการอื่นๆ ให้ครบจำนวน ตามข้อ ๑๔ข้อ ๑๖. การประชุมคณะกรรมการบริหาร ๑๖.๑ ให้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารปีหนึ่งไม่น้อยกว่า ๓ ครั้ง ๑๖.๒ การนัดประชุมต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย ๗ วัน ๑๖.๓ ต้องมีกรรมการบริหารเข้าประชุมไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๔ จึงถือว่าครบองค์ประชุม ๑๖.๔ การลงมติ ให้ถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานของที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาดข้อ ๑๗. การตั้งที่ปรึกษา อนุกรรมการและคณะทำงานเฉพาะกิจ คณะกรรมการบริหาร อาจตั้งที่ปรึกษาของสมาคม อนุกรรมการ และ/หรือ คณะทำงานเฉพาะกิจตาม ความเหมาะสมข้อ ๑๘. การพ้นจากตำแหน่ง กรรมการบริหารย่อมพ้นจากตำแหน่งเมื่อ ๑๘.๑ ตาย ๑๘.๒ ลาออกเป็นลายลักษณ์อักษร ๑๘.๓ สมาชิกในที่ประชุมใหญ่สามัญ หรือ ประชุมใหญ่วิสามัญ จำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ลงมติไม่ไว้วางใจ ๑๘.๔ ขาดจากสมาชิกภาพของสมาคม ๑๘.๕ ออกตามวาระที่กำหนดในข้อ ๑๙.๒ข้อ ๑๙. อำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการบริหาร ๑๙.๑ คณะกรรมการบริหาร มีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันในการบริหาร ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสมาคม และรวมไปถึงภารกิจอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับสมาคม ๑๙.๒ ให้คณะกรรมการบริหารดำรงตำแหน่งอยู่ได้คราวละ ๒ ปี หรือจนกว่าจะมีการเลือกตั้งกรรมการบริหารชุดใหม่ทำหน้าที่แทน ถ้าตำแหน่งกรรมการบริหารที่มาจากการเลือกตั้งว่างลงก่อนครบวาระ ให้คณะกรรมการบริหารแต่งตั้งสมาชิกสามัญคนใดคนหนึ่งที่เห็นสมควรเข้าดำรงตำแหน่งแทนตำแหน่งที่ว่าง และอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระของผู้ที่ตนแทน ๑๙.๓ คณะกรรมการบริหารมีอำนาจออกระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้การบริหารงานของสมาคม ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ๑๙.๔ คณะกรรมการบริหารมีอำนาจจ้าง และแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของสมาคมชั่วคราวหรือประจำ ทำงานได้ตามความเหมาะสม ๑๙.๕ การเงินของสมาคม เงินสดของสมาคม ถ้ามีให้นำไปฝากธนาคารใดธนาคารหนึ่ง การสั่งจ่ายเงินในใบสั่งจ่ายธนาคาร ต้องมีลายเซ็นนายกสมาคมและเหรัญญิก และ/หรือ กรรมการผู้รักษาการแทนลงนามอย่างน้อย ๒ ท่าน และให้เหรัญญิกมีอำนาจจ่ายเงินของสมาคมได้ในวงเงินไม่เกินคราวละ ๑๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) หากเกินจำนวนนี้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหาร ให้คณะกรรมการเสนอชื่อผู้ตรวจบัญชี เพื่อขอแต่งตั้งจากที่ประชุมใหญ่สามัญทุก ๒ ปี และให้ถือวันที่ ๓๑ ธันวาคม เป็นวันสิ้นสุดการชำระบัญชีประจำปีหมวดที่ ๕ อื่นๆข้อ ๒๐. การเลิกสมาคม การเลิกสมาคมทำได้ โดย ๒๐.๑ ได้รับมติเป็นลายลักษณ์อักษรจากสมาชิกสามัญเป็นจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดให้เลิกสมาคม และให้จัดการชำระบัญชี หากมีทรัพย์สินเหลืออยู่ให้ตกเป็นของสภากาชาดไทยข้อ ๒๑. การแก้ไขข้อบังคับของสมาคม การแก้ไขข้อบังคับของสมาคม จะกระทำได้โดยมีสมาชิกเข้าร่วมประชุมอย่างน้อย ๕๐ คน และต้องมีเสียงสนับสนุนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกที่มาประชุม และต้องแจ้งส่วนที่ต้องการแก้ไขเป็นลายลักษณ์อักษรให้สมาชิกทราบล่วงหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย ๒๑ วัน ก่อนมีการลงมติข้อ ๒๒. ให้ใช้ข้อบังคับนี้ตั้งแต่ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ข้อบังคับนี้ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี ๒๕๖๐ ของสมาคมพันธุศาสตร์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ ผู้จัดทำ นายกสมาคมพันธุศาสตร์แห่งประเทศไทย